มังกรสิงคโปร์...ลีกวนยู
ลีกวนยู (Lee Kuan Yew) เป็นชาวสิงคโปร์โดยกำเนิด เกิดเมื่อวันที่ 16 กันยายน 1923 ศึกษา ณ.ที่ วิทยาลัย Raffles วิทยาลัยที่มีชื่อเสียงมากที่สุดใน British Malaya เพื่อนร่วมรุ่นของเขาที่คนไทยรู้จัก ก็คือ ตนกู อับดุล รามานย์ (Tunku Abdul Raman)นายกรัฐมนตร๊ของประเทศมาเลเซีย ก่อนหน้าที่ มหาเธร์ จะขึ้นกุมอำนาจในประเทศมาเลเซีย
ในช่วงอายุ 19 ปี ชีวิตในวัยเรียนของเขาต้องหยุดพักเนื่องจากการรุกรานและปกครองสิงคโปร์โดยประเทศญี่ปุน ในสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่เป็นการปลุกใจให้เขาหันมาสนใจทางด้านการเมืองตามประสาชาวเอเชียเพื่อต่อสู้เพื่ออิสรภาพ และการพ่ายแพ้อย่างง่ายดายของกองทัพอังกฤษต่อกองทัพญี่ปุ่น ทำใ้ห้ทำลายความเชื่อเรื่องการไม่สามารถเอาชนะคนขาวลงได้อย่างสิ้นเชิง ความคิดทางการเมืองของ ลีกวนยู เริ่มจากวันเวลาแห่งความสิ้นหวังนี้
หลังสงคราม ลีกวนยู เดินทางไปศึกษากฎหมายที่มหาวิทยาลัย Cambridge ที่ประเทศอังกฤษ ที่ซึ่งเขาได้พบและแต่งงานกับภรรยาของเขา (กวาก๊อกชู Kwa Geok Choo) ที่มาเรียนกฎหมายที่ Cambridgeเช่นเดียวกัน และเป็นที่ซึ่งมีการนำเอาปัญหาความไม่พอใจในการปกครองอาณานิคมของอังกฤษต่อชาว Malayans มาพูดคุย โดยได้รับความเห็นอกเห็นใจและอยากให้อิสรภาพแก่อาณานิคมเหล่านั้นจากพรรค Labor Party ของอังกฤษ ทำให้เขาฝักใฝ่ในองค์กรณ์ Socialist และกระโจนเข้าหา Malayan Forum เพื่ออภิปรายตอบโต้กับประเทศอังกฤษในการเป็นอิสรภาพจากอาณานิคมของอังกฤษ
ที่อังกฤษนี้เองเป็นที่เขาซาบซึ้งถึงความเป็นศิริวิไลซ์ของมนุษย์ โดยตัวอย่างเล็กๆของร้านขายหนังสือพิมพ์ที่ไม่จำเป็นต้องมีผู้ขาย ผู้คนมาซื้อหนังสือพิมพ์จ่ายและหยิบทอนเงินทองกันเองโดยไม่มีการโกงหรือชักดาบ และไม่มีใครคิดขโมยเงิน ผู้คนรู้จักหน้าที่ของตนเอง
02
หลังจากเขากลับมาสิงคโปร์ในปี 1950 ในปี 1954 ลีกวนยู จัดตั้งพรรค People’s Action Party (PAP) และในปี 1955 เขาชนะการเลือกตั้งเป็นครั้งแรก จากนั้นในปี 1959 เขาได้รับการเลือกตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีสิงคโปร์เมื่ออายุได้เพียง 35 ปี
ในปี 1961 ลีกวนยูพูดคุยกับตนกู อับตุล รามานย์ ในการรวมสิงคโปร์เข้ากับประเทศมาเลเซีย โดยเล็งเห็นว่า ประเทศสิงคโปร์ไม่มีทรัพยากรธรรมชาติและปัจจัยที่เอื้อให้เติบโตเป็นประเทศที่สมบูรณ์ การรวมประเทศมาสำเร็จในปี 1962 หนึ่งปีผ่านมา แต่แล้วอีก 3 ปีผ่านมาในปี 1965 ลีกวนยู ตัดสินใจนำสิงคโปร์แยกออกจากประเทศมาเลเซีย ทั้งน้ำตา เนื่องจากปัญหาเรื่องเชื้อชาติที่เป็นปัญหาใหญ่ของทั้งสองประเทศ เขาประกาศในวันที่ต้องแยกออกจากมาเลเซียว่า Singapore must survive
ตั้งแต่นั้นมา ลีกวนยู ได้สร้าง สิงคโปร์ ให้เป็น หนึ่งในประเทศที่ร่ำรวยที่สุดในโลก ถึงแม้สิงคโปร์จะมีความยุ่งยากในทางเศรษฐกิจ แต่สิงคโปร์มีระบบสาธารณูปโภคที่ดีเนื่องจากการเป็นอาณานิคมของอังกฤษและเป็นแหล่งขนถ่ายสินค้า ลีกวนยู จึงใช้ศักยภาพทางด้านนี้อย่างเต็มที่ในการพัฒนาประเทศ
ดูเหมือนว่า ลีกวนยู จะใช้องค์ความรู้ไปในด้านสิ่งจำเป็นในการการปฎิรูปการปกครองเพื่อเน้นการพัฒนาทางด้านเศรษฐกิจ เช่นเดียวกับ เติ้งเสี่ยวผิง มังกรแห่งประเทศจีน จึ่งไม่แปลกใจเลยเมื่อ ลีกวนยู ก้าวออกมาสนับสนุน เติ้งเสี่ยวผิง เป็นแถวแรกๆเมื่อประเทศจีนเปิดประเทศ
03
มีประโยคที่ ลีกวนยู ให้สัมภาษณ์กับทางโทรทัศน์ “เขาเชื่อในเรื่องนำคนดีมาดำรงตำแหน่ง ถึงแม้ระบบจะไม่ดี หรือห่วยสุดๆ” เพราะคนดีเมื่อมาดำรงอยู่สามารถสร้างระบบที่ดีได้ แต่ถ้าระบบที่ดีแต่เอาคนไม่ดีมาดำรงตำแหน่ง ระบบก็จะพังและพินาศไป บทเรียนนี้เป็นความทรงจำของเขาในภาวะสงครามที่เขาเคยเผชิญมา
แม้ลีกวนยู จะเป็นผู้เผด็จการในคราบระบอบประชาธิปไตย แต่สิ่งที่เขาทำสิ่งที่เขาสร้างเพื่อประเทศสิงคโปร์ ในช่วงที่เขาปกครองประเทศสิงคโปร์ไม่เคยมีข้อกล่าวหาเขาในเรื่องคอรัปชั่น กินสินบาทคาดสินบน ทำให้ประเทศ สิงคโปร์ เป็นประเทศที่ติดอันดับประเทศที่น่าลงทุนในอันดับต้นๆแทบทุกปี จะมีแต่ข้อกล่าวหา ลีกวนยู ในแง่ใช้อำนาจในทางมิชอบเพื่อขจัดฝ่ายตรงข้ามและบุคคลที่คิดเห็นตรงกันข้ามกับเขา
ลีกวนยู เคยให้สัมภาษณ์ในเรื่องการใช้อำนาจของเขาว่า “เขาปลูกฝังความคิดและความเชื่อประชากรของเขาเพื่อให้ประชากรของเขาเชื่อในเรื่องที่จะนำประเทศสิงคโปร์ก้าวพัฒนาไปสู่ประเทศที่เจริญและศิริวิไลซ์ ใครที่มาขัดขวางแนวความเชื่อนี้ เขาจะขัดขวางและต่อสู้กับคนเหล่านั้นจนถึงที่สุด” เพราะเขาบอกว่า ความคิดและความเชื่อในสิ่งที่คิดนี้ไม่สามารถสร้างขึ้นมาได้ภายในวันเดียว แต่ถ้ามาถูกทำลายโดยคนบางกลุ่มในเพียงวันเดียว ประเทศของเขาก็จะไม่มีศักยภาพในการแข่งขันกับประเทศอื่นๆได้
มีครั้งหนึ่งที่ผู้นำประเทศสิงคโปร์และมาเลเซียมาประชุมที่ประเทศไทย ในตอนกลางคืนทางฝ่ายไทยได้จัดสาวๆไว้ให้ท่านผู้นำของแต่ละประเทศ ลีกวนยู ตอบแก่ผู้จัดหาคนไทยว่า เขามาประเทศไทยเพื่อมาประชุมและไม่คิดจะมาหาความสุขและสนุกแบบนี้ ในขณะที่ผู้นำมาเลเซียเมื่อเห็น ลีกวนยู ไม่ตอบรับสาวๆที่ไทยจัดให้ จึงบอกแก่คนไทยให้ยกสาวที่จัดให้ให้ท่านผู้นำมาเลเซียเพิ่มไปเลย
คงได้ข้อคิดสิ่งที่ผมนำเสนอบ้างนะครับ แม้แต่นักเผด็จการในคราบประชาธิปไตยตัวจริงเสียงจริง ถ้าเขาทำเพื่อประเทศชาติเขาจริงๆ คนสิงคโปร์ส่วนใหญ่รักและนับถือเขา และทำให้รู้ว่า ทำไมคนสิงคโปร์ถึงเป็นคนที่ Tough และ ก้าวร้าว ในทางเศรษฐกิจ เพราะประเทศเขาไม่มีทรัพยากรอุดมสมบูรณ์เหมือนประเทศไทยไว้ใช้สอย จึงต้องขวนขวายและแสวงหาเพื่อไม่ให้ประเทศเขาไม่ตกไปจากแผนที่โลก
เมื่อดูเขาแล้วมามองดูประเทศไทยของเรา ไม่รู้เราจะคิดกันยังไง...โอ้ ประเทศไทย
ไม่มีความคิดเห็น: